วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Experiment No.5

Experiment No.5


1.ถ่ายภาพโดยอาศัยองค์ประกอบศิลป์
    -วิเคราะห์ภาพของตนเอง
 -วิเคราะห์ภาพของผู้อื่น
2.เทคนิคการถ่ายภาพเคลื่อนไหว Action stop


1.ถ่ายภาพโดยอาศัยองค์ประกอบศิลป์

-วิเคราะห์ภาพของตนเอง

Aperture F8.0
Shutter speed 1/4000 sec
ISO-3200 

ใช้องค์ประกอบศิลป์ เรื่อง การซ้ำ Repetition

   การซ้ำหรือการซ้ำซ้อน (Repettition) เป็นภาพที่แสดงลักษณะของวัตถุ ที่มีลักษณะเหมืนอกันหรือประเภทเดียวกัน จากภาพ เป็นภาพของวัด โดยจะสังเกตเห็นได้ว่า หน้าต่างของวัดจะมีการทำซ้ำ เรียงกันไปเรื่อยๆ รวมถึงการตกแต่งเหนือบานหน้าต่างใต้หลังคาวัด ก็มีลักษณะของวัตถุที่เหมือนๆกัน ทั้งสีและรายละเอียด
   โดยการถ่ายภาพนี้นั้น เริ่มจากการจัดหามุมที่สามารถมองเห็นได้ถึงลักษณะของการซ้ำได้เป็นอย่างดี โดยดิฉันได้เลือกถ่ายเป็นด้านข้าง แทนการถ่ายจากด้านหน้าตรงๆ เพราะการถ่ายจากด้านหน้าโดยตรง แม้จะสามารถมองเห็นการซ้ำของบานหน้าต่างได้เช่นกัน แต่ภาพถ่ายที่ออกมานั้น จะมีความแข็ง ดูไร้มิติ ไม่มีความน่าสนใจ รวมถึงทำให้มองไม่เห็นรายละเอียดที่สวยงามของไม้ค้ำใต้หลังคาเหนือบานหน้าต่างอีกด้วย จึงเลือกถ่ายเป็นภาพเฉียงจากด้านข้างแทน และเนื่องจากเป็นช่วงสายๆประมาณ9.00-10.00จึงทำให้แสงส่องมาจากฝั่งตรงข้ามตัวสถาปัตยกรรม เข้ามากระทบบานหน้าต่าง ทำให้สีทองต่างๆของสถาปัตยกรรม มีความเด่นชัด สวยงามมากขึ้นอีกด้วย ใช้รูรับแสงค่อนข้างกว้าง คือ F8.0 เพื่อให้แสงเข้าเต็มที่โดยสัมพันธ์กับShutter speed ใช้shutter speed เร็วๆ คือ 1/4000 เพราะเนื่องจากว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีคนเดินผ่านไปมาเป็นจำนวนมาก จึงต้องรีบเก็บภาพอย่างรวดเร็ว




-วิเคราะห์ภาพของผู้อื่น


ชื่อภาพ Ant's World ถ่ายที่ Voronez ประเทศ Russia
ที่มาภาพ http://englishrussia.com/2012/01/20/2011-best-photographs-of-russia-nomination-nature/

                                             
                                           ใช้องค์ประกอบศิลป์ เรื่อง ดุลยภาพ (ฺBalance)
         เป็นหนึ่งในภาพถ่ายธรรมชาติที่ได้รับรางวัล winners of 2011 Best Photographs of Russia
โดยเป็นการประมวลภาพมาจากนิทรรศการณ์ จึงไม่มีรายละเอียดหรือเทคนิคของการถ่ายภาพ รวมถึงชื่อของผู้ถ่ายที่แท้จริง เพราะทางเว็บไซต์ของรัสเซีย ได้นำมาโพสไว้อีกที ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วย


        ดุลยภาพ เป็นการจัดองค์ประกอบภาพให้เกิดความสมดุลหรือเท่ากันของน้ำหนัก เป็นการทำให้ความรู้สึกของคนที่มองภาพ รู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่เท่ากัน เป็นความเท่ากันของน้ำหนักตามความรู้สึก หรือ Sensible Equilibrium (อ้างอิงข้อความจาก หนังสือ"องค์ประกอบศิลป์ สำหรับนักถ่ายภาพ") โดยเป็นการถ่ายภาพมดแบบระยะใกล้มาก ทำให้เห็นตัวมดได้อย่างละเอียดชัดเจน ใช้หลักดุลยภาพแบบสมมาตรบน-ล่าง ซึ่งเกิดจากเงาสะท้อนของมดที่สะท้อนบนน้ำนั่นเอง

         

2.เทคนิคการถ่ายภาพเคลื่อนไหว Action stop
Aperture F 7.1
Shutter speed 1/4000 sec
 ISO6400

ใช้เทคนิค Splash Photography Technique (No Flash) โดยมีการเตรียมการง่ายๆคือ หาน้ำหน้าที่มีสีสัน หรือ หากใครมีสีผสมอาหารอยู่ที่บ้าน ก็ลองนำมาผสมน้ำเปล่าเล็กน้อยเพื่อนให้ได้น้ำสีสันสดใสไม่ต้องกลัวเสียดายน้ำหวาน นำน้ำใส่แก้วใส วางไว้ในตัวแหน่งที่ต้องการ อาจเป็นตัวแหน่งที่เป็นกำแพงเพื่อใช้เป็นฉากหลัง จากนั้นหาวัตถุที่พอมีน้ำหนักมาโยน เช่น น้ำแข็ง ลูกมะนาว ผลมะกรูดเป็นต้น จากนั้นถ่ายภาพโดยใช้
Shutter speed ให้เร็วที่สุด เพื่อให้จับภาพขณะน้ำกระเด็นออกมาจากแก้วได้ทัน ทำให้เกิดภาพAction stop ที่มีความสวยงาม หากเราใช้Shutter speedช้าๆ เราก็จะไม่สามารถจับภาพน้ำที่กระเซ็นออกได้ทัน หรือหากทันก็จะเป็นเพียงภาพที่มีลักษณะเบลอๆ มองเห็นการเคลื่อนที่ของน้ำได้ไม่ชัดเจน การใช้ความเร็วชัตเตอร์มากๆ อาจต้องคำนึงเรื่องของแสงด้วย จากภาพของดิฉัน ถ่ายจากที่โล่งแจ้งในเวลาบ่ายต้นๆ แสงมีมาก จริงเปิดรูรับแสงให้กว้าง เพื่อให้แสงเข้าอย่างเพียงพอโดยไม่ต้องใช้แฟลชช่วย 







วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Experiment No.4

Experiment No.4

ระบบวัดแสงของกล้อง

รุ่นกล้อง Canon EOS 700D

1.ระบบวัดแสงเน้นกลางภาพ Center-weighted average metering
2.ระบบวัดแสงเฉพาะจุด Spot metering
3.ระบบวัดแสงเฉพาะจุด/บางส่วน partial metering
4.ระบบวัดแสงแบบเฉลี่ยหลายส่วน Matrix metering ***Canon มีชื่อว่า Evaluative metering
-------------------------------------------------------------
        1) การเปรียบเทียบ ระบบวัดแสงเน้นกลางภาพ Center-weighted average metering
                                                                   กับ
                                        ระบบวัดแสงเฉพาะจุด Spot metering
                   

                           
                      ระบบวัดแสงเน้นกลางภาพ Center-weighted average metering
                                                         ISO800 F4.0 1/160


                         
                                       ระบบวัดแสงเฉพาะจุด Spot metering
                                                 ISO800 F4.0 1/1000

 สังเกตความแตกต่าง: ภาพspotเห็นชัดเพียงตรงกลางที่เป็นวัตถุและมีแสง ส่วนCenter-weighted จะสามารถมองเห็นฉากหลังหรือภาพโดยรอบได้มากกว่า เนื่องจากเป็นModeที่เน้นค่าแสงขนาดใหญ่
-------------------------------------------------------------


       2) การเปรียบเทียบ ระบบวัดแสงเน้นกลางภาพ Center-weighted average metering
                                                                      กับ
                                                   ระบบวัดแสงเฉพาะจุด partial


                                
                          ระบบวัดแสงเน้นกลางภาพ Center-weighted average metering
                                                            ISO800 F4.0 1/160


                                 
                                           ระบบวัดแสงเฉพาะจุด/บางส่วน  partial metering
                                                                ISO800 F4.0 1/1000

สังเกตความแตกต่าง:ภาพpartialเห็นชัดเพียงตรงกลางที่เป็นวัตถุและมีแสง ส่วนCenter-weighted จะสามารถมองเห็นฉากหลังหรือภาพโดยรอบได้มากกว่า เนื่องจากเป็นModeที่เน้นค่าแสงขนาดใหญ่


-------------------------------------------------------------

*****เพิ่มเติม : ระบบวัดแสงเฉพาะจุด ระหว่าง แบบ spot กับแบบ partial มีความคล้ายคลึงกันมากจนบางภาพแทบจะแยกความแตกต่างไม่ออก เรามาดูภาพตัวอย่างต่อไปนี้ ในการความแตกต่างของ 2 ทั้งระบบ
                                               ระบบวัดแสงเฉพาะจุด/บางส่วน partial metering
ISO800 F5.6 1/1250

                                                        ระบบวัดแสงเฉพาะจุด spot metering
ISO800 F5.6 1/4000

สรุปข้อเปรียบเทียบ ระบบวัดแสงเฉพาะจุด partial จะมีพื้นที่ที่ใช้ในการวิเคราะห์แสงใหญ่กว่า ระบบวัดแสงเฉพาะจุด spot แต่จะไม่ใหญ่เท่า ระบบวัดแสงเน้นกลางภาพ Center-weighted average metering


-------------------------------------------------------------

     3) การเปรียบเทียบ ระบบวัดแสงเน้นกลางภาพ Center-weighted average metering
กับ
        ระบบวัดแสงแบบเฉลี่ยหลายส่วน Matrix or Evaluative metering

                                 ระบบวัดแสงเน้นกลางภาพ Center-weighted average metering
                                                                 ISO800 F4.0 1/160





                                 ระบบวัดแสงแบบเฉลี่ยหลายส่วน Matrix or Evaluative metering
                                                                      ISO800 F4.0 1/80

สังเกตความแตกต่าง: ภาพของEvaluativeมีความสว่างและเห็นวัตถุได้เป็นวงกว้างมากกว่าCenter-weighted เนื่องจากระบบวัดแสงแบบEvaluative เป็นการแบ่งพื้นที่ภายในช่องเล็งภาพเป็นส่วนย่อยเล็กๆ แล้วนำค่าแสงที่วัดในแต่ละพื้นที่มาคำนวณค่าเฉลี่ย จึงง่ายต่อการให้ค่าแสงเฉลี่ยที่มากกว่าระบบอื่นๆ


สรุป   ระบบวัดแสงแต่ละระบบ ให้ผลลัพธ์ของภาพที่มีความแตกต่างกัน การวัดแสงแบบเฉลี่ยEvaluative metering และแบบกลางภาพCenter-weighted average metering จะแสดงภาพที่แสงตรงกลางมีการกระจายตัวออกมากที่สุด นอกจากจะเห็นวัตถุได้ชัดแล้วยังสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆรอบวัตถุหรือฉากหลังได้อีกด้วย ในขณะที่การวัดแสงแบบเฉพาะจุด spot metering วัดแสงอย่างแม่นยำให้พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง จะได้ภาพที่แสงช่วยเน้นวัตถุให้มีความโดดเด่นและชัดเจนมากที่สุด และ partial metering ก็ช่วยเน้นวัตถุให้มีความโดดเด่นเช่นกัน แต่จะมีพื้นที่แสงใหญ่กว่าระบบวัดแสงเฉพาะจุด แต่จะไม่ใหญ่เท่า ระบบวัดแสงเน้นกลางภาพ Center-weighted average metering
          อย่างไรก็ตาม การวัดแสงอาจมีความคลาดเคลื่อนไม่สมบูรณ์ได้ ขึ้นอยู่กับแวดล้อมหรือสิ่งที่ประกอบอยู่ในภาพ แสง หรือแม้แต่การถ่ายภาพย้อนแสงก็สามารถทำให้การวัดแสงนั้นเกิดการผิดพลาดได้เช่นเดียวกัน










วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Experiment No.2


1.Mode M ความยาวโฟกัสของเลนส์คงที่และระยะของภาพคงที่
ความยาวโฟกัส 50 มม ทั้ง 2 ภาพ


    
 
        1. Aperture : f26           ISO  : 1600  
      Shutter speed : 1/80 s



      
      2. Aperture : f5.6           ISO  : 100   
         Shutter speed : 1/80 s

        เมื่อขนาดรูรับแสงเล็ก ปริมาณของแสงเข้าไปน้อย ภาพจะไม่สว่างมากนัก รวมถึงระยะความคมชัดของภาพจะเพิ่มขึ้น สังเกตได้จากภาพที่ 1 ภาพจะมีความชัดเจนทั่วกันทั้งภาพ ตั้งแต่วัตถุที่ฉากหน้า ไปจนถึงฉากหลัง เรียกว่า "ภาพชัดลึก"

        ส่วนภาพที่ 2 รูรับแสงเปิดกว้าง ปริมาณแสงเข้าไปได้มาก ภาพจึงค่อนข้างสว่าง ความคมชัดภาพ
บริเวณรากของต้นไม้ในกระถางจะเบลอเล็กน้อย บริเวณขอบของภาพจะไม่คมชัดมากนัก กล่าวคือ ภาพมีความคมชัดอยู่ที่ฉากหน้า ฉากหลังมีลักษณะพร่ามัวไม่ชัดเจน เรียกว่า ภาพชัดตื้น 



2.Mode M รูรับแสงกว้างและปรับระยะของการถ่ายโดยการเดินเข้าและเดินออก (ปรับระยะระหว่างกล้องและวัตถุ)

รายละเอียดของภาพ  // ทั้งสองภาพ                      
                         ความยาวโฟกัส :35 มม.
                       
           
                                                                             1. Aperture : f/4.5
                                                                                ISO : 200
                                                                        Shutter speed : 1/160 S 
      

                                                                         2. Aperture : f/4.5
                                                                               ISO : 250
                                                                     Shutter speed : 1/160 S                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                          จากภาพ ภาพที่ 1 กล้องอยู่ห่างจากวัตถุมากกว่า สามารถเห็นความคมชัดได้ทั้งฉากหน้าและฉากหลัง  ส่วนภาพที่ 2 ที่มีระยะห่างที่น้อยกว่า ทำให้เราสามารถเห็นความคมชัดได้เพียงแค่บริเวณวัตถุ ฉากหลังจะพร่ามัว                                                                                                                                                                                                                                                                                                       


      3.Mode M ปรับค่าความยาวโฟกัสของเลนส์มากที่สุด       

และต่ำที่สุด โดยใช้ F เท่ากันทั้ง 2 ภาพ




           1.ความยาวโฟกัส 18 มม. (ไกลวัตถุ)

                       Aperture : f8.0
                       ISO : 1000
                       Shutter speed : 1/500 s                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                

             2.ความยาวโฟกัส : 55 มม.(ใกล้วัตถุ)

                         Aperture : f8.0
                         ISO : 1600
                         Shutter speed : 1/500 s







   จากการเปรียบเทียบภาพทั้ง 2 ภาพ ที่ถ่ายด้วยเลนส์ 18 มม. กับภาพที่ถ่ายด้วยเลนส์ 55 มม. โดยขนาดรูรับแสงและระยะห่างของกล้องเท่ากัน จะทำให้ภาพที่ถ่ายจากเลนส์ 18 มม. มีระยะความชัดลึกที่มากกว่า ภาพจากระยะเลนส์ 55 มม.

บทสรุป 
1.ขนาดรูรับแสงมีขนาดเล็ก สามารถสร้างภาพที่มีความชัดลึกได้ - ขนาดรูรับแสงมีขนาดใหญ่ สามารถสร้างภาพชัดตื้นได้(ความยาวโฟกัสและระยะภาพคงที่)
2.ภาพที่ระยะห่างของกล้องไกลจากวัตถุ ทำให้เกิดภาพชัดลึก - ภาพที่ระยะห่างของกล้องใกล้กับวัตถุ ทำให้เกิดภาพชัดตื้น
3.เลนส์ที่มีความยาวโฟกัสสั้น ทำให้เกิดภาพชัดลึก - เลนส์ที่มีความยาวโฟกัสยาว ทำให้เกิดภาพชัดตื้น
4.ขนาดของรูรับแสง ระยะห่างระหว่างวัตถุกับกล้อง และความยาวโฟกัส มีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันในการสร้างภาพ ให้มีความชัดลึกหรือชัดตื้น รวมถึงการควบคุมปริมาณแสงให้เข้าในกล้องซึ่งมีผลต่อการสร้างภาพชัดลึก-ชัดตื้นเป็นอย่างมาก